RSS

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สมุนไพรน่ารู้

ความหมายของสมุนไพร

คำว่า สมุนไพร ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 
หมายถึง พืชที่ใช้ ทำเป็นเครื่องยา      สมุนไพรกำเนิดมาจากธรรมชาติและมีความหมายต่อชีวิตมนุษย์
โดยเฉพาะ ในทางสุขภาพ อันหมายถึงทั้งการส่งเสริมสุขภาพและการรักษาโรค ความหมายของยาสมุนไพรในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 
ได้ระบุว่า ยาสมุนไพร หมายความว่า ยาที่ได้จากพฤกษาชาติสัตว์หรือแร่ธาตุ
ซึ่งมิได้ผสมปรุงหรือแปรสภาพ เช่น พืชก็ยังเป็นส่วนของราก ลำต้น ใบ ดอก ผลฯลฯ 
ซึ่งมิได้ผ่านขั้นตอนการแปรรูปใด ๆ แต่ในทางการค้า สมุนไพรมักจะถูกดัดแปลงในรูปแบบต่าง ๆ
เช่น ถูกหั่นให้เป็นชิ้นเล็กลง
บดเป็นผงละเอียด หรืออัดเป็นแท่งแต่ในความรู้สึกของคนทั่วไป
เมื่อกล่าวถึงสมุนไพร มักนึกถึงเฉพาะต้นไม้ที่นำมาใช้เป็นยาเท่านั้น
 สมุนไพร หมายถึง พืชที่มีสรรพคุณในการรักษาโรค
หรืออาการเจ็บป่วยต่าง ๆ การใช้สมุนไพรสำหรับรักษาโรค 
หรืออาการเจ็บป่วยต่างๆ นี้ จะต้องนำเอาสมุนไพรตั้งแต่สองชนิดขึ้นไป
มาผสมรวมกันซึ่งจะเรียกว่า "ยา" ในตำรับยา นอกจากพืชสมุนไพรแล้ว
ยังอาจประกอบด้วยสัตว์และแร่ธาตุอีกด้วย
เราเรียกพืช สัตว์ หรือแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของยานี้ว่า "เภสัชวัตถุ
"
พืชสมุนไพรบางชนิด เช่น เร่ว กระวาน กานพลู
และจันทน์เทศ เป็นต้น เป็นพืชที่มีกลิ่นหอมและมีรสเผ็ดร้อน
ใช้เป็นยาสำหรับขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ พืชเหล่านี้ถ้านำมาปรุงอาหาร
เราจะเรียกว่า "เครื่องเทศ" ในพระราชบัญญัติยาฉบับที่ 3ปีพุทธศักราช 2522 ได้แบ่งยาที่ได้จากเภสัชวัตถุนี้ไว้เป็น 2 ประเภทคือ
     1. ยาแผนโบราณ หมายถึง ยาที่ใช้ในการประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ
หรือในการบำบัดโรคของสัตว์ ซึ่งมีปรากฎอยู่ในตำรายาแผนโบราณ
ที่รัฐมนตรีประกาศ หรือยาที่รัฐมนตรีประกาศให้เป็นยาแผนโบราณ หรือได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนตำรับยาเป็นยาแผนโบราณ
2. ยาสมุนไพร หมายถึง ยาที่ได้จากพืชสัตว์แร่ธาตุที่ยังมิได้ผสมปรุง
หรือแปรสภาพสมุนไพรนอกจากจะใช้เป็นยาแล้ว ยังใช้ประโยชน์เป็นอาหาร 
ใช้เตรียมเป็นเครื่องดื่ม ใช้เป็นอาหารเสริม เป็นส่วนประกอบ
ในเครื่องสำอาง ใช้แต่งกลิ่น แต่งสีอาหารและยา ตลอดจนใช้เป็น
ยาฆ่าแมลงอีกด้วย ในทางตรงกันข้าม มีสมุนไพรจำนวนไม่น้อยที่มีพิษ
ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีหรือใช้เกินขนาดจะมีพิษถึงตายได้ ดังนั้นการใช้สมุนไพร
จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวังและใช้อย่างถูกต้อง ปัจจุบันมีการตื่นตัว
ในการนำสมุนไพรมาใช้พัฒนาประเทศมากขึ้น สมุนไพรเป็นส่วนหนึ่ง
ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาต
ิ กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนิน โครงการ สมุนไพรกับสาธารณสุขมูลฐาน 
โดยเน้นการนำสมุนไพรมาใช้บำบัดรักษาโรคใน สถานบริการสาธารณสุข
ของรัฐมากขึ้น และ ส่งเสริมให้ปลูกสมุนไพรเพื่อใช้ภายในหมู่บ้านเป็น
การสนับสนุนให้มีการใช้สมุนไพรมากยิ่งขึ้น อันเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยประเทศชาต
ิประหยัดเงินตราในการสั่งซื้อยาสำเร็จรูป
จากต่างประเทศได้ปีละเป็นจำนวนมาก
     สมุนไพร หมายถึง พืชที่ใช้ทำเป็นเครื่องยา
ส่วน ยาสมุนไพร หมายถึง ยาที่ได้จากส่วนของพืช สัตว์ และแร่ 
ซึ่งยังมิได้ผสมปรุง หรือ แปรสภาพส่วนการนำมาใช้ อาจดัดแปลงรูปลักษณะ
ของสมุนไพรให้ใช้ได้สะดวกขึ้น เช่น
นำมาหั่นให้มีขนาดเล็กลง หรือ นำมาบดเป็นผงเป็นต้นมีแต่พืชเพียงอย่างเดียว
หามิได้เพราะยังมีสัตว์และแร่ธาตุอื่นๆอีกสมุนไพร 
ที่เป็นสัตว์ได้แก่ เขา หนัง กระดูก ดี หรือเป็นสัตว์ทั้งตัวก็มี 
เช่น ตุ๊กแกไส้เดือน ม้าน้ำ ฯลฯ"พืชสมุนไพร" 
นั้นตั้งแต่โบราณก็ทราบกันดีว่ามีคุณค่าทางยามากมายซึ่ง เชื่อกันอีกด้วยว่า
ต้นพืชต่างๆ ก็เป็นพืชที่มีสารที่เป็นตัวยาด้วยกันทั้งสิ้นเพียงแต่ว่าพืชชนิดไหน
จะมีคุณค่าทางยามากน้อยกว่ากันเท่านั้น
    "พืชสมุนไพร" หรือวัตถุธาตุนี้ หรือตัวยาสมุนไพรนี้ 
แบ่งออกเป็น 5 ประการ
1.
รูป ได้แก่ ใบไม้ ดอกไม้ เปลือกไม้ แก่นไม้ กระพี้ไม้ รากไม้ เมล็ด
2.
สี มองแล้วเห็นว่าเป็นสีเขียวใบไม้ สีเหลือง สีแดง สีส้ม
สีม่วง สีน้ำตาล สีดำ
3.
กลิ่น ให้รู้ว่ามรกลิ่น หอม เหม็น หรือกลิ่นอย่างไร
4.
รส ให้รู้ว่ามีรสอย่างไร รสจืด รสฝาด รสขม รสเค็ม 
รสหวาน รสเปรี้ยว รสเย็น
5.
ชื่อ ต้องรู้ว่ามีชื่ออะไรในพืชสมุนไพรนั้นๆ ให้รู้ว่า
ขิงเป็นอย่างไร ข่า เป็นอย่างไร ใบขี้เหล็กเป็นอย่างไร 
     ปัจจุบันมีผู้พยายามศึกษาค้นคว้าเพื่อพัฒนายาสมุนไพร
ให้สามารถนำมาใช้ในรูปแบบที่สะดวกยิ่งขึ้น เช่น 
นำมาบดเป็นผงบรรจุแคปซูล ตอกเป็นยาเม็ด เตรียมเป็นครีม
หรือยาขี้ผึ้งเพื่อใช้ทาภายนอก เป็นต้น ในการศึกษาวิจัยเพื่อนำสมุนไพร
มาใช้เป็นยาแผนปัจจุบันนั้น 
ได้มีการวิจัยอย่างกว้างขวาง โดยพยายามสกัดสารสำคัญจากสมุนไพร
เพื่อให้ได้สารที่บริสุทธิ์ ศึกษาคุณสมบัติทางด้านเคมี ฟิสิกส์ของสาร
เพื่อให้ทราบว่าเป็นสารชนิดใด ตรวจสอบฤทธิ์ด้านเภสัชวิทยา
ในสัตว์ทดลองเพื่อดูให้ได้ผลดี
ในการรักษาโรคหรือไม่เพียงใด ศึกษาความเป็นพิษและผลข้างเคียง
เมื่อพบว่าสารชนิดใดให้ผลในการรักษาที่ดี โดยไม่มีพิษหรือมีพิษข้างเคียงน้อย
จึงนำสารนั้นมาเตรียมเป็นยา รูปแบบที่เหมาะสมเพื่อทดลองใช้ต่อไป

 วิธีการเก็บส่วนที่ใช้เป็นยา 
          ยาสมุนไพรเป็นส่วนประกอบที่ได้มาจากพืช สัตว์ หรือแร่ธาตุ ตัวยาที่มีอยู่ในพืชสมุนไพรจะมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง แต่ที่สำคัญก็คือ "ช่วงเวลาที่เก็บยาสมุนไพร"  การเก็บในช่วงเวลาที่เหมาะสมจะมีผลต่อฤทธิ์การรักษาโรคของยาสมุนไพรได้ นอกจากคำนึงถึงช่วงเวลาในการเก็บยาเป็นสำคัญแล้ว ยังต้องคำนึงถึงว่าเก็บยาถูกต้องหรือไม่ ส่วนไหนของพืชที่ใช้เป็นยา เป็นต้น พื้นดินที่ปลูก อากาศ การเลือกเก็บส่วนที่ใช้เป็นยาอย่างถูกวิธีนั้น จะมีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพของยาที่จะนำมารักษาโรค หากปัจจัยดังกล่าวเปลี่ยนไป ปริมาณตัวยาที่มีอยู่ในสมุนไพรก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย ทำให้ยานั้นไม่เกิดผลในการักษาโรคได้
          หลักทั่วไปในการเก็บส่วนที่ใช้เป็นยาสมุนไพร แบ่งโดยส่วนที่ใช้เป็นยาดังนี้
  1. ประเภทรากหรือหัว  เก็บในช่วงที่พืชหยุดเจริญเติบโต ใบ ดอก ร่วงหมด หรือในช่วงต้นฤดูหนาวถึงปลายฤดูร้อน เพราะเหตุว่าในช่วงนี้ รากและหัวมีการสะสมปริมาณของตัวยาไว้ค่อนข้างสูง
  2. ประเภทใบหรือเก็บทั้งต้น  ควรเก็บในช่วงที่พืชเจริญเติบโตมากที่สุด หรือบางชนิดอาจระบุช่วงเวลาการเก็บชัดเจน เช่น เก็บใบไม้อ่อนหรือไม่แก่เกินไป (ใบเพสลาด) เก็บช่วงดอกตูมเริ่มบาน หรือช่วงที่ดอกบาน เป็นต้น การกำหนดช่วงเวลาที่เก็บใบ เพราะช่วงเวลานั้น ในใบมีตัวยามากที่สุด วีธีการเก็บใช้วิธีเด็ด ตัวอย่างเช่น กระเพรา ขลู่ ฝรั่ง ฟ้าทะลายโจร เป็นต้น
  3. ประเภทเปลือกต้นและเปลือกราก  เปลือกต้นโดยมากเก็บระหว่างช่วงฤดูร้อนต่อกับฤดูฝน ปริมาณยาในพืชสูงและลอกออกง่าย สำหรับการลอกเปลือกต้นนั้น อย่าลอกเปลือกออกทั้งรอบต้น เพราะกระทบกระเทือนในการส่งลำเลียงอาหารของพืช อาจทำให้ตายได้ ทางที่ดีควรลอกจากส่วนกิ่งหรือแขนงย่อย ไม่ควรลอกจากลำต้นใหญ่ของต้นไม้ หรือจะใช้วิธีลอกออกในลักษณะครึ่งวงกลมก็ได้ ส่วนเปลือกราก เก็บในช่วงต้นฤดูฝนเหมาะที่สุด เนื่องจากการลอกเปลือกต้นหรือเปลือกรากเป็นผลเสียต่อการเจริญเติบโตของพืช ควรสนใจวิธีการเก็บที่เหมาะสม
  4. ประเภทดอก  โดยทั่วไปเก็บในช่วงดอกเริ่มบาน แต่บางชนิดเก็บในช่วงดอกตูม เช่น กานพลู เป็นต้น
  5. ประเภทผลและเมล็ด  พืชสมุนไพรบางอย่างอาจเก็บในช่วงที่ผลยังไม่สุกก็มี เช่น ฝรั่ง เก็บผลอ่อน ใช้แก้ท้องร่วง แต่โดยทั่วไปมักเก็บตอนผลแก่เต็มที่แล้ว ตัวอย่างเช่น มะแว้งต้น มะแว้งเครือ ดีปลี เมล็ดฟักทอง เมล็ดชุมเห็ดไทย เมล็ดสะแก เป็นต้น
          นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ตามการถ่ายทอดประสบการณ์ของแพทย์ไทยโบราณนั้น ยังมีการเก็บยาตามฤดูกาล วัน โมงยาม และทิศอีกด้วย เช่น ใบควรเก็บในตอนเช้าวันอังคาร ฤดูฝนทางทิศตะวันออก เป็นต้น อย่างไรก็ตามในที่นี้ขอแนะนำให้ใช้หลักการเก็บส่วนที่ใช้เป็นยาสมุนไพรข้างต้น นอกจากนี้ท่านผู้ศึกษาการเก็บและการใช้สมุนไพร สามารถเรียนรู้ได้จากหมอพื้นบ้านที่อยู่ในหมู่บ้าน ซึ่งมีประสบการณ์เก็บยาและการใช้ยามาเป็นเวลาช้านาน
          วิธีการเก็บสมุนไพรที่ถูกต้องเหมาะสมนั้น โดยทั่วไปไม่มีอะไรสลับซับซ้อน ประเภทใบ ดอก ผล ใช้วิธีเด็ดแบบธรรมดา ส่วนแบบราก หัว หรือเก็บทั้งต้น ใช้วิธีขุดอย่างระมัดระวัง เพื่อประกันให้ได้ส่วนที่เป็นยามากที่สุด สำหรับเปลือกต้นหรือเปลือกราก เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของต้นพืช ดังนั้นจึงควรสนใจวิธีการเก็บดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
          คุณภาพของยาสมุนไพรจะใช้รักษาโรคได้ดีหรือไม่นั้น ที่สำคัญอยู่ที่ช่วงเวลาการเก็บสมุนไพร และวิธีการเก็บ แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ยังต้องคำนึงถึงอีกอย่างคือ พื้นที่ปลูก เช่น ลำโพง ควรปลูกในพื้นดินที่เป็นด่าง ปริมาณของตัวยาจะสูง สะระแหน่หากปลูกในที่ดินทราย ปริมาณน้ำมันหอมระเหยจะสูง และยังมีปัญหาทางด้านสภาพแวดล้อมในการเจริญเติบโต ภูมิอากาศ เป็นต้น ต่างก็มีผลต่อคุณภาพสมุนไพรทั้งนั้น ดังนั้นเราควรพิจารณาหาข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนที่จะเก็บยาสมุนไพรมาใช้ในการรักษาโรค


ข้อควรรู้ทั่วไปในการใช้ยาสมุนไพร
  1. กลุ่มอาการ / โรคที่แนะนำให้ใช้สมุนไพร
    ปัจจุบันการใช้สมุนไพรในงานสาธารณสุขมูลฐาน ส่งเสริมและเผยแพร่การใช้สมุนไพรตัวเดียวเพื่อรักษาโรค / อาการเบื้องต้นที่พบบ่อยๆ และเนื่องจากสมุนไพรหลายชนิดเป็นพืชผักที่รับประทานอยู่เป็นประจำ จึงแนะนำไว้ในการส่งเสริมสุขภาพด้วย (รวมทั้งสีผสมอาหารที่อยู่ตามธรรมชาติ)
    กลุ่มโรค/อาการเบื้องต้นที่แนะนำให้ใช้สมุนไพรมี 18 โรค ดังนี้
    อาการท้องผูก
    อาการท้องอึดอัด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด
    อาการท้องเสีย (แบบไม่รุนแรง)
    พยาธิลำไส้
    บิด
    อาการคลื่นไส้ อาเจียน (เหตุจากธาตุไม่ปกติ)
    อาการไอ ขับเสมหะ
    อาการไข้
    อาการขัดเบา (คือปัสสาวะไม่สะดวก กะปริบกะปรอยแต่ไม่มีอาการบวม)
    โรคกลาก
    โรคเกลื้อน
    อาการนอนไม่หลับ
    ฝี แผลพุพอง (ภายนอก)
    อาการเคล็ดขัดยอก (ภายนอก)
    อาการแพ้ อักเสบ แมลงสัตว์กัดต่อย (ภายนอก)
    แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก (ภายนอก)
    เหา
    ชันนะตุ
    หากเป็นโรค/ อาการเหล่านี้ให้ใช้สมุนไพรที่แนะนำ และหยุดใช้เมื่อหายไป แต่ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน ควรไปปรึกษาศูนย์บริการสาธารณสุขหรือโรงพยาบาล
         ถ้าผู้ป่วยมีอาการโรค/ อาการดังกล่าว แต่เป็นอาการที่รุนแรง ต้องนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที ไม่ควรรักษาด้วยการซื้อยารับประทานเองหรือใช้สมุนไพร อาการที่รุนแรงมีดังนี้
    1. ไข้สูง (ตัวร้อนจัด)  ตาแดง ปวดเมื่อยมาก ซึม บางทีพูดเพ้อ (อาจเป็นไข้หวัดใหญ่หรือไข้ป่าชนิดขึ้นสมอง)
    2.  ไข้สูงและดีซ่าน (ตัวเหลือง) อ่อนเพลียมาก อาจเจ็บในแถวชายโครง อาจเป็นโรคตับอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ ฯลฯ
    3.  ปวดแถวสะดือ เวลาเอามือกดเจ็บปวดมากขึ้น หน้าท้องแข็ง อาจท้องผูกและมีไข้เล็กน้อยหรือมาก (อาจเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบอย่างแรง หรือลำไส้ส่วนอื่นอักเสบ)
    4.  เจ็บแปลบในท้องคล้ายมีอะไรฉีกขาด ปวดท้องรุนแรงมาก อาจมีตัวร้อนและคลื่นไส้อาเจียนด้วย บางทีมีประวัติปวดท้องบ่อยๆ มาก่อน (อาจมีการะลุของกระเพาะอาหารหรือลำไส้)
    5.  อาเจียนเป็นโลหิต หรือไอเป็นโลหิต (อาจเป็นโรคร้ายแรงของกระเพาะอาหารหรือปอด) ต้องให้คนไข้นอนพักนิ่งๆ ก่อน ถ้าแพทย์อยู่ใกล้ควรเชิญมาตรวจที่บ้าน ถ้าจำเป็นต้องพาไปพบแพทย์ ควรรอให้เลือดหยุดเสียก่อน และควรพาไปโดยมีการกระทบกระเทือนน้อยที่สุด
    6.  ท้องเดินอย่างแรง  อุจจาระเป็นน้ำ บางทีมีลักษณะคล้ายน้ำซาวข้าว บางทีถ่ายพุ่ง ถ่ายติดต่อกันอย่างรวดเร็ว คนไข้อ่อนเพลียมาก ตาลึก หนังแห้ง (อาจเป็นอหิวาตกโรค) ต้องพาไปพบแพทย์โดยด่วน ถ้าไปไม่ไหวต้องแจ้งแพทย์หรืออนามัยที่ใกล้ที่สุดโดยเร็ว
    7.  ถ่ายอุจจาระเป็นมูกและเลือด บางทีเกือบไม่มีเนื้ออุจจาระเลย ถ่ายบ่อยมาก อาจจะตั้งสิบครั้งในหนึ่งชั่วโมง คนไข้เพลียมาก (อาจเป็นโรคบิดอย่างรุนแรง)
    8.  สำหรับเด็ก โดยเฉพาะอายุภายในสิบสองปี ไข้สูง ไอมาก หายใจมีเสียงผิดปกติ คล้ายๆ กับมีอะไรติดอยู่ในคอ บางทีก็มีอาการหน้าเขียวด้วย (อาจเป็นโรคคอตีบ) ต้องรีบพาไปพบแพทย์โดยด่วนที่สุด
    9.  อาการตกเลือดเป็นเลือดสดๆ จากทางไหนก็ตาม โดยเฉพาะทางช่องคลอด ต้องพาไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
 ยาสมุนไพรต่างๆ
ฝาง 
ฝางเสน, ง้าย (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), หนามโค้ง (แพร่)

เป็น ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีหนามตลอดทั้งต้นและกิ่ง โคนหนามเป็นเต้าเล็กๆ ใบประกอบ ใบย่อย เป็นใบ ประกอบด้วย ใบย่อยเล็ก เหมือนใบมะขาม ดอกเล็กสีเหลืองเป็นช่อ ผลเป็นฝักแบน สีเขียวเหมือนใบมีดปังตอ แก่นสีแดงออกส้มเข้ม นิยมเรียกว่า ฝางเสน ให้สีแดง เกิดตามป่าดงดิบเขา ป่าโปร่งทั่วไป ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

สรรพคุณ 
แก่น  รส ขมฝาด ต้มเอาน้ำดื่ม บำรุงโลหิต แก้ปอดพิการ แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ท้องร่วง แก้ธาตุพิการ แก้กำเดา แก้เสมหะ แก้โลหิตออกทางทวารหนัก





ชะเอมไทย  
ชะเอม, ส้มป่อยหวาน, กอกกั๋น, อ้อยสามสวน, อ้อยช้าง (ชุมพร), เซเบี๊ยดกาเช (ตรัง) 
เป็น ไม้เถายืนต้นขนาดกลาง เมื่ออายุมากๆ จะโตเหมือนไม้ยืนต้น ตามลำต้นมีหนาม ใบประกอบ ใบย่อยขนาดเล็ก โตกว่าใบส้มป่อย ดอกช่อสีขาว เล็กหอม ฝักเบนยาวประมาณ 4 นิ้วเกิดตามป่าดงดิบเขาและป่าโปร่งทั่วไป ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
 
สรรพคุณ
เนื้อ ไม้  รส หวาน แก้โรคในคอ แก้ลม แก้เลือดออกตามไรฟัน บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง บำรุงกล้ามเนื้อให้เจริญ ขับเสมหะ แก้น้ำลายเหนียว ทำให้ชุ่มคอ บำรุงปอด แก้อ่อนเพลีย

 


เถาวัลย์เปรียง  
เครือตาปลา, เครือตับปลา (อีสาน), เครือเขาหนัง, เถาวัลย์เปรียงแดง, เถาวัลย์เปรียงขาว, ย่านเหมาะ (นครศรีธรรมราช)
เป็น ไม้เถาขนาดใหญ่ พาดพันตามต้นไม้อื่น เถาใหญ่มักจะบิด ใบประกอบ ใบย่อยรูปไข่กลับ ผิวเรียบมันเขียวขอบเรียบ ปลายแหลมน้อยๆ ดอกเป็นช่อพวงระย้าสีขาวดก ฝักแบนยาว ออกเป็นพวง เนื้อไม้มีวงสีเข้ม มีสองชนิด คือ ชนิดแดง เนื้อสีแดง วงสีแดงเข้ม ชนิดขาว เนื้อออกสีน้ำตาลอ่อนๆ วงสีน้ำตาลไหม้
 
สรรพคุณ 
เถา  รส เฝื่อน ต้มรับประทานถ่ายเส้น ถ่ายกระษัย แก้เส้นเอ็นขอด ถ่ายเสมหะ ไม่ถ่ายอุจจาระ จึงเหมาะที่จะใช้ในโรคบิด ไอ หวัด ใช้ในเด็กได้ดี ทำให้เส้นเอ็นอ่อนลง ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ คั่วให้หอม ชงกินแทนน้ำชา แก้เส้นเอ็นพิการ แก้เมื่อยขบตามร่างกาย บางท่านกล่าวว่า ทำให้มีกำลังดีแข็งแรงสู้ไม่ถอย แก้กระษัยเหน็บชา


กระเจี๊ยบแดง
กระเจี๊ยบเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงราว 3-6 ศอก กิ่งก้านมีสีม่วงแดง ใบมีหลายรูป เช่น ขอบใบเรียบ หรือหยักเว้า 3 หยัก ดอกสีชมพู ตรงกลางจะมีสีเข้มกว่ากลีบส่วนนอก เมื่อกลีบดอกร่วง ใบประดับและกลีบเลี้ยงจะเจริญขึ้น มีสีม่วงแดงเข้มหุ้มผลไว้ภายใน มีเมล็ด ใช้ปลูก ปลูกได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย
ใบประดับและกลีบเลี้ยงของกระเจี๊ยบแดง รสเปรี้ยว ทำแยมหรือใช้เป็นสารแต่งสี ในเยลลี่ ใบอ่อนของกระเจี๊ยบเป็นผัก ใช้แกงส้ม กระเจี๊ยบเปรี้ยวมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ส้มพอเหมาะ" ใบประดับ กลีบเลี้ยงและใบมีรสเปรี้ยว ใช้เป็นยากัดเสมหะ


กระเทียม
กระเทียมเป็นพืชล้มลุก มีลำต้นใต้ดิน เรียกว่า หัว หัวมีกลีบย่อยหลายกลีบ ติดกัน เนื้อสีขาว มีกลิ่นฉุนเฉพาะบางครั้งในหนึ่งหัวมีกลีบเดียว เรียก "กระเทียมโทน" หัวค่อนข้างกลม ใบยาวแบน ปลายแหลม ภายในกลวงดอกรวมกันเป็นกระจุกที่ปลาย ก้านช่อดอก ดอกสีขาวอมเขียวหรือ อมชมพู-ม่วง ผลมีขนาดเล็ก ใช้หัวปลูกได้ทั่วไป เป็นผักได้ทั้งใบ และหัวใต้ดิน หัวกระเทียมตากแห้งเก็บไว้ใช้ได้นาน ปรุงรส และแต่งกลิ่นอาหารหลายอย่าง กระเทียมดองเก็บไว้รับประทานได้นาน ๆ รสเผ็ดร้อน เป็นยาขับลมในลำไส้ แก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยย่อยอาหาร รักษากลาก เกลื้อน กระวาน กระวานเป็นไม้ล้มลุก สูง 2-3 เมตร ใบเรียวแหลม ดอกเป็นช่อแทงออกจากดิน กลีบดอกสีเหลืองมีใบประดับสีนวลหุ้ม ผลกลม ใช้วิธีแยกหน่อปลูก ชอบความชื้นสูง ปลูกในป่าหรือใต้ไม่ใหญ่จะงามดี เหง้าอ่อนของกระวานใช้รับประทานเป็นผัก มีกลิ่นหอมและเผ็ดเล็กน้อย ผลแก่ ตากแห้งใช้เป็นเครื่องเทศ รสเผ็ดร้อนกลิ่นหอม เป็นยาขับลม และเสมหะ แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และแน่นจุกเสียด

ข่า
ลำต้นที่อยู่ในใต้ดินเรียกว่า เหง้า เหง้ามีข้อและปล้องชัดเจน เนื้อในสีเนื้อ และมีกลิ่นหอมเฉพาะลำต้นที่อยู่เหนือดิน สูงได้ถึง 2 เมตร ใบสีเขียว ออกสลับข้างกัน รูปร่างรียาว ปลายแหลม ดอกออกเป็นช่อที่ยอด ดอกย่อยมีขนาดเล็ก สีขาวนวล ด้าน ในของกลีบดอกมีประสีแดง ผลเปลือกแข็ง รูปร่างกลมรี เหง้าข่า เป็นเครื่องเทศที่ใช้ชูรสอาหาร ใส่ในเครื่องแกงแทบทุกชนิด ใช้ปรุงต้มข่าไก่ ผัดเผ็ด ลาบ ช่วยดับกลิ่นคาวของอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ใส่ในต้มเนื้อ ต้มปลา เพื่อดับกลิ่นคาวรสเผ็ดปร่า ขับลม แก้บวม ฟกซ้ำ แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด
ขิง
ขิงเป็นพืชล้มลุกมีเหง้าใต้ดิน เหง้าจะแตกแขนงคล้ายนิ้วมือ เนื้อในสีเหลืองแกมเขียวลำต้นที่อยู่เหนือดินตั้งตรงยาวราว 2-3 ศอก เกิดจากกาบใบมาเรียงซ้อนกันแน่นใบสีเขียวปลายใบแหลม ดอกเป็นช่อ ก้านดอกยาว ดอกสีเหลืองอ่อน มีใบประดับเรียงซ้อนกันแน่น เป็นรูปกระบองโบราณ จะบานจากโคนไปหาส่วนปลาย ปลูกโดยใช้เหงา ชอบดินร่วนซุยและอากาศชุ่มชื้น ปลูกงามเป็นบางแห่ง
ขิงอ่อนปรุงเป็นอาหาร เช่น ไก่ผัดขิง ขิงยำ หรือใช้เป็นผักแกล้ม ส่วนขิงไม่แก่นักชงเป็นนำดื่ม ขิงแก่ใช้ต้มกับนำตาลใส่เต้าฮวย หรือใส่ในมันต้มนำตาลให้มีรสเผ็ด กลิ่นหอม รสหวานเผ็ดร้อน แก้ลมจุกเสียด แก้เสมหะ บำรุงธาตุ แก้คลื่นเหียนอาเจียน น้ำมันขิงเป็นยาขับลมที่ดี ช่วยไปกระตุ้นการบีบตัวของกระเพราะอาหารและลำใส้ อาการมีเสมหะ ฝนกับน้ำมะนาว แทรกเกลือเล็กน้อย ใช้กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ

ขมิ้นชัน
ขมิ้นชันเป็นพืชล้มลุกที่มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อในของเหง้าขนิ้นสีเหลืองเข้มจนถึงสีเหลืองจำปา มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ใบคล้ายใบพุทธรักษา ปลายแหลม ดอกออกเป็นช่อมีก้านช่อแทงจากเหง้าโดยตรง ดอกสีขาวอมเหลือง ใบประดับสีเขียวอมชมพู ใช้เหง้าปลูกปลูกได้ทั่วไป
ขมิ้นชัน ใช้เป็นเครื่องปรุงรสและสารแต่งสี อาหารหลายอย่างใส่ขมิ้น ทำให้สีและกลิ่นชวนรับประทาน รสฝาดกลิ่นหอม แก้โรคผิวหนัง ผื่นคัน ขับลม แก้ท้องร่วง มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา ช่วยขับลม ทำให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น เจริญอาหาร เหง้าสดขมิ้นชันใช้เป็นยารักษาฝี แผลพุพอง และแก้อาการแพ้อักเสบ ใช้รักษาอาการ ท้องอืดเฟ้อ ปวดท้อง แน่นจุกเสียด และอาหารไม่ย่อย

ขี้เหล็ก
ขี้เหล็กเป็นต้นไม้ขนาดกลาง ใบเป็นใบประกอบ มีใบย่อยประมาณ 10 คู่ ใบเรียว ปลายใบมนหยักเว้าเล็กน้อย โคนใบกลม สีเขียว ใต้ใบสีอ่อนกว่าด้านบน และมีขนเล็กน้อย ดอกเป็นช่อสีเหลือง ฝักแบนหนา ขี้เหล็กปลูกไม่ยาก ใช้เมล็ดปลูกได้ทุกภาคของประเทศ ขี้เหล็ก ดอกตูมและใบอ่อนของขี้เหล็ก มีรสขม ต้องต้มเทน้ำทิ้งหลายๆครั้งก่อน จึงนำมาปรุงเป็นอาหารได้ นิยมใช้ทำแกงกะทิ หรือรับประทานเป็นผักจิ้ม ช่วยระบายท้องได้ดี ดอกตูมและใบอ่อน รสขม ช่วยระบายท้อง ดอกตูมทำให้นอนหลับได้ ช่วยเจริญอาหาร สารอัลคาลอยด์ที่อยู่ในใบขี้เหล็กมีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง ช่วยให้นอนหลับได้ อาการท้องผูก อาการนอนไม่หลับ กังวล เบื่ออาหาร

คำฝอย
ดอกคำฝอยเป็นพืชล้มลุกสูงราว 1 เมตร ลำต้นเป็นเหลี่ยม ก้านใบสั้น ใบรูปร่างเรียว ริมใบหยักแหลม เป็นหนาม เนื้อใบเรียบ ดอกออกรวมกันเป็นช่อ อัดแ่นบน ฐานดอก รูปร่างกลมเหมือนกับดอกดาวเรือง ดอกย่อยสีเหลือง ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีส้ม เมื่อแก่เป็นสีส้มแดง เมล็ดสีขาว ใช้เมล็ดปลูก ปลูกได้ทางเหนือของประเทศไทย ดอกคำฝอย เพิ่งเริ่มปลูกในประเทศไทยเมื่อไม่กี่ปีมานี้ แก้อาการอักเสบ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อบางตัวได้ ใช้รักษาสตรีที่ประจำเดือนคั่งค้าง หรืออาการปวดบวม ฟกช้ำดำเขียว น้ำมันดอกคำฝอยช่วยลดคอเรสเตอรอล
คูน คูนเป็นไม้ต้นขนาดกลาง ใบเป็นใบประกอบ ใบย่อยนขาดใหญ่มี 3-8 คู่ รูปไข่ ปลายปลายแหลม ดอกเป็นช่อระย้าสีเหลืองและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ฝักกลมยาว เมื่อแก่จัดเป็นสีน้ำตาย ปลูกโดยใช้เมล็ดและตอนกิ่ง ปลูกได้ทั่วไป คูน ส่วนที่ใช้เป็นยา เนื้อในฝักแก่ รสหวานเอียนเล็กน้อย สรรพคุณ เป็นยาระบายถ่ายสะดวกไม่มวน ไม่ไซ้ท้อง


ดีปลี
เป็นไม้เลื้อย ใบรูปไข่ โคนมน ปลายแหลม ดอกเป็นรูปทรงกระบอกปลายมน ผลแก่สีเขียวเข้ม ผลสุกเป็นสีแดง ปลูกโดยใช้เถาที่มีข้อปักชำ ดีปลี รสเผ็ดร้อนขม บำรุงธาตุ ขับลม แก้จุกเสียด ผลแก่แห้ง มีน้ำมันหอมระเหย ช่วยขับลม ผลแก่แห้งใช้เป็นยารักษา อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และปวดท้อง และแก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน ที่เกิดจากธาตุไม่ปกติ อาการไอ และขับเสมหะ  




                          
ตำลึง  
ตำลึงเป็นไม้เถามีอายุอยู่ได้หลายปี เมื่ออายุมากเถาจะใหญ่และแข็ง เถาอ่อนสีเขียว เถาแก่มาก ๆ สีเทา ตามข้อบริเวณปลายยอดมีมือเกาะ ใบออกสลับกัน เป็นรูปสามเหลี่ยม ดอกสีขาว มีเกสรสีเหลืองอ่อน ผลคล้ายลูกแตงกวา แต่ขนาดเล็กกว่า ผลดิบสีเขียว และมีลายขาว เมื่อสุกเต็มที่สีแดงสด ปลูกเป็นผักขึ้นตามรั้วบ้านตามชนบททั่วไป ปลูกโดยใช้เมล็ด ตำลึง ใบตำลึงมีคุณค่าทางอาหารสูง ยอดตำลึงใช้เป็นผักปรุงอาหารได้หลายอย่าง เช่น ลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก แกงจืดตำลึงหมูสับ แกงเลียงหรือใส่ก๋วยเตี๋ยวแทนถั่วงอก รสเย็น ใบสด ตำคั้นน้ำ แก้พิษแมลงกัดต่อย ที่ทำให้ปวดแสบปวดร้อนและคัน รักษา อาการแพ้อักเสบ
  ตะไคร้   
 ตะไคร้เป็นพืชที่มีอายุหลายปี ลำต้นรวมกันเป็นกอ ใบยาวเรียว ปลายแหลมสีเขียวออกเทา และมีกลิ่นหอม ดอกออกเป็นช่อยาว มีดอกเล็กฝอยจำนวนมาก ผลมีขนาดเล็ก ตะไคร้ปลูกง่าย เจริญงอกงาามในดินแทบทุกชนิด ใช้เหง้าปลูก (ไม่เคยพบดอก) ตะไคร้ เป็นเครื่องเทศที่ใช้ปรุงรส และแต่งกลิ่นอาหารไทยหลายอย่าง เช่น น้ำพริกแกงทุกชนิด ต้มยำ ยำ ต้มเนื้อ ต้มโคล้ง แกงไตปลา ข้าวยำปักษ์ใต้ ช่วยดับกลิ่นคาว แต่งรสและช่วยขับลม รสปร่า กลิ่นหอม บำรุงไฟธาตุ แก้โรคทางเดินปัสวะ ขับลมในลำใส้ ทำให้เจริญอาหาร แก้คาว แก้จุกเสียด ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา เป็นยารักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาการขัดเบา ปัสวะขัด ไม่คล่อง 
   ทับทิม           
ทับทิมเป็นไม้พุ่ม ใบรูปร่างเรียวแคบและขนาดเล็ก ขอบใบเรียบ ดอกมีหลายสี เช่น ขาว แดง ส้ม มีผลกลม ภายในมีเมล็ดมาก คนจีนถือเป็นไม้มงคล โดยเฉพาะทับทิม ดอกขาว ปลูกโดยการตอนกิ่ง และเมล็ด ปลูกได้ทั่วไป ทับทิมใช้รับประทานเป็นผลไม้ รสหวาน หรือเปรี้ยวอมหวาน ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และบำรุงฟันให้แข็งแรง รสฝาด เป็นยาฝาดสมาน เปลือกทับทิมรสฝาด แก้อาการท้องร่วง ใช้เป็นยาแก้ท้องเดินและบิด ใช้รักษานำกัดเท้า รากเป็นยาถ่ายพยาธิตัวตืด 
 บัวบก         
บัวบกเป็นพืชเลื้อย ต้นใบชูสูง 1 ฝ่ามือ มีรากงอกออกมาตามข้อของลำต้น แผ่นใบรูปไต ขอบใบเป็นคลื่น ดอกสีม่วงแดงเข้มออกตรงข้อ ใช้ข้อที่มีรากงอกออกมาปลูก ชอบขึ้นในที่ค่อนข้างแฉะ บัวบก ใบบัวบก กรอบ รสมัน ใช้เป็นผักรับประทานกับอาหารได้หลายอย่าง เช่น กะปิคั่ว หมี่กรอบ ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย แกงเผ็ดของทางใต้ นำคั้นจากใบสด ทำให้เจือจาง ใส่นำแข็งและน้ำตาล ทำเป็นเครื่องดื่ม เป็นยาแก้ชำใน ทำให้เลือดกระจายหายฟกช้ำ แก้อาการกระหายน้ำ บำรุงกำลัง บำรุงสายตา กลิ่นหอม รสขมเล็กน้อย แก้อ่อนเพลียเมื่อยล้า รักษาแผลให้หายเร็ว ไม่พบอาการเป็นพิษใดๆ

 เพกา    
เพกาเป็นไม้ต้นสูง มีใบย่อยจำนวนมาก รูปใบเป็นรูปไข่ ปลายแหลม ดอกเป็นช่อสีม่วงแดง ฝักแบนยาวคล้ายดาบขนาดใหญ่ ฝักอ่อนเป็นผักใช้ปรุงอาหาร ภายในมีเมล็ดแบนมีปีกบางใส ปลูกโดยใช้เมล็ด ปลูกง่าย เพกา เปลือกรสฝาด เย็น ขมเล็กน้อย เป็นยาสมานดับพิษโลหิต แก้นเหลืองเสีย รากเป็นยาบำรุงธาตุ เมล็ดเป็นยาระบาย 
    
                                                                                     
พญายอ          
พญายอเป็นไม้พุ้มแกมเลื้อย เถาและใบสีเขียว ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ดอกสีแดงออกเป็นช่ออยู่ทีปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบดอกเป็นหลอด ปลายแยกเป็นสองปาก มีใบประดับสีเขียวรองดอก ปลูกโดยใช้ลำต้นแก่ปักชำ ขึ้นง่าย พญายอ รสจืด ใบเสลดพังพอนตัวเมีย รักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ ปวด บวม แดง ร้อน แต่ไม่มีไข้จากแมลงมีพิษ




กะเพรา
กะเพราเป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก โคนต้นที่แก่เป็นไม้เนื้อแข็ง ยอดเป็นไม้เนื้ออ่อน ลำต้นและใบมีขนอ่อน มีกลิ่นหอมฉุน รูปรี ปลายใบและโคนใบแหลมหรือมนเล็กน้อย ขอบใบหยัก ดอกออกเป็นช่อ ดอกย่อยออกรอบแกนกลางเป็นชั้น ๆ กะเพราปลูกเป็นผักสวนครัวอยู่ทั่วไป มีกะเพราขาวและกะเพราแดง กะเพราขาวมีส่วนต่าง ๆ เป็นสีเขียว ส่วนกะเพราแดงจะมีส่วนต่าง ๆ เป็นสีเขียวอมม่วงแดง ปลูกโดยใช้กิ่งชำหรือใช้เมล็ด ปลูกได้ทั่วไป
กะเพราใช้เป็นเครื่องปรุงรสทำให้ร้อนและขับลมได้ดี ใบกะเพราใช้ใส่แกงป่าผัดเผ็ด ผัดเผ็ดนก ผัดขี้เมาและนำไปแต่งกลิ่นอาหารให้ชวนรับประทานขึ้น




กานพลูการพลูเป็นไม้ต้นขนาดกลาง ใบค่อนข้างหนาเป็นมัน ยอดอ่อนสีแดงเป็นมัน ใบส่องแดดจะเห็นจุดน้ำมันอยู่ทั่วไป ออกดอกเป็นช่อขนาดเล็ก
      ดอกสีแดงอมชมพู เก็บดอกตูมขณะที่เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดง และทำให้แห้งเก็บไว้ใช้ ปลูกโดยใช้ เมล็ด ขึ้นได้ดีในเมืองร้อนชอบอากาศร้อนและความชี้นสูง กานพลูแห้งเป็นเครื่องเทศ ช่วยแต่งกลิ่นอาหาร รสเผ็ดร้อน กลิ่นหอม ช่วยขับลม ดอกกานพลูช่วยป้องกันไม่ให้เด็กอ่อนท้องขึ้น ท้องเฟ้อ

กระชาย
กระชายเป็นไม้ล้มลุก สูงราว 1-2 ศอก มีลำต้นเป็นเหง้าใต้ดิน สีน้ำตาลเข้ม ขนานกับดิน มีราก รูปทรงกระบอก ปลายแหลมจำนวนมาก เนื้อในสีเหลือง มีกลิ่น หอม เฉพาะกาบใบ มีสีแดงเรื่อ ใบใหญ่ยาวรีปลายแหลม ดอกเป็นช่อ สีขาวอมชมพู บานครั้งละ 1 ดอก ปลูกในฤดูแล้ง โดยใช้เหง้าและราก
มีรสเผ็ดร้อน ช่วยดับกลิ่นคาวได้ดี ปรุงเป็นอาหารหลายชนิด เช่นน้ำยาขนมจีน แกงป่าปลา ปลาร้าหลน กะปิคั่ว แกงขี้เหล็ก รับประทานอาหารที่มีกระชายอยู่ด้วย จะช่วยขับลมได้ดี แก้ปวดมวนในท้อง แก้ท้องอืด เฟ้อ บำรุงกำลัง